March 15, 2025

ยูเครนตกลงหยุดยิง 30 วัน หลังเจรจากับสหรัฐฯ ที่ซาอุดีอาระเบีย

ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี เปิดเผยว่า ยูเครนได้ตอบรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในการหยุดยิงกับรัสเซียเป็นเวลา 30 วัน ภายหลังการเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนและสหรัฐฯ ที่นครเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2025 โดยการเจรจาครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 8 ชั่วโมง ข้อตกลงหยุดยิงครอบคลุมแนวหน้าทั้งหมด ข้อตกลงหยุดยิงที่ยูเครนยอมรับนั้น ครอบคลุมถึงแนวหน้าทั้งหมดของการสู้รบกับรัสเซีย ไม่ใช่แค่ในทางอากาศหรือทางทะเลเท่านั้น เซเลนสกีกล่าวว่า “ยูเครนยอมรับข้อเสนอนี้ เรามองว่าเป็นไปในทางบวก เราพร้อมที่จะดำเนินการดังกล่าว และสหรัฐฯ ต้องโน้มน้าวให้รัสเซียทำเช่นเดียวกัน” พร้อมเสริมว่าข้อตกลงหยุดยิงจะมีผลทันทีที่รัสเซียตอบตกลง ​ สหรัฐฯ ย้ำภาระหน้าที่ตกอยู่ที่รัสเซีย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวภายหลังการเจรจาว่า ยูเครนไม่เพียงแต่ตอบรับข้อเสนอหยุดยิง แต่ยังตกลงที่จะเปิดการเจรจากับรัสเซียทันที ซึ่งตอนนี้ภาระหน้าที่ตกอยู่ที่รัสเซีย ว่าจะดำเนินการเพื่อยุติสงครามหรือไม่​ “ตอนนี้เราจะนำข้อเสนอนี้ไปให้รัสเซีย และเราหวังว่าพวกเขาจะบอกว่าตกลงเพื่อสันติภาพ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว” รูบิโอกล่าว​ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมระบุว่า “จะยกเลิกการระงับแบ่งปันข่าวกรอง และกลับมาให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนอีกครั้งในทันที” ทรัมป์แสดงความยินดี – พร้อมหารือปูติน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ […]

เริ่มวันแรกปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ดูรายชื่อจังหวัดที่ได้รับการปรับในปี 2568

เริ่มต้นปี 2568 ด้วยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน สำหรับบางจังหวัดในประเทศไทย การปรับขึ้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน รายละเอียดการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในครั้งนี้ครอบคลุมหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยจังหวัดที่ได้รับการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน รวมถึงพื้นที่ที่มีเศรษฐกิจขยายตัวและค่าครองชีพสูง เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญในภาคใต้ รายชื่อจังหวัดที่ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา ขอนแก่น ทั้งนี้ รายชื่อทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้เพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง แรงงาน แรงงานที่ได้รับการปรับขึ้นค่าแรงจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิต นายจ้าง บางภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME อาจเผชิญกับแรงกดดันจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน เศรษฐกิจโดยรวม การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2568 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงโครงสร้างค่าแรงในระยะยาว ทั้งนี้ รัฐบาลต้องหามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การสนับสนุน SME และการส่งเสริมการฝึกทักษะใหม่ให้แรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 23% ในปี 2024 ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ดัชนี S&P 500 ปิดปี 2024 ด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 23% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปีที่แข็งแกร่งสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ว่าจะเผชิญแรงขายทำกำไรในช่วงท้ายปี โดยนักลงทุนยังคงมองว่าหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโต สรุปสถานการณ์ตลาดหุ้นในปี 2024 ดัชนี S&P 500 ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Nvidia และ Microsoft รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากเผชิญความผันผวนในช่วงต้นปี ความต้องการในกลุ่มพลังงานสะอาดและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และรถยนต์ไฟฟ้า ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดหุ้น ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโต นโยบายการเงินของ Fed แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่การส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วยสร้างความมั่นใจในตลาด การฟื้นตัวของกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น Nvidia (ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 85%) และ Apple ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด การลงทุนในพลังงานสะอาด การสนับสนุนจากรัฐบาลและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคช่วยให้หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดเติบโตขึ้นเฉลี่ย 25% ความท้าทายที่ต้องเผชิญ แม้ S&P 500 จะเติบโตได้ดีในปีนี้ แต่ตลาดยังคงเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก […]

คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบโครงการโอนเงินผู้สูงอายุ 10,000 บาทปี 2568

ครม. เห็นชอบโครงการโอนเงินผู้สูงอายุ 10,000 บาท คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ต่อคน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ รายละเอียดโครง การโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่มุ่งเน้นการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยผู้ที่มีสิทธิ์จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไข เช่น อายุ 60 ปีขึ้นไป และเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เงินช่วยเหลือดังกล่าวจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกไว้กับระบบโดยตรง ที่มารูป : mcot ผลกระทบเชิงบวก การช่วยเหลือครั้งนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในกลุ่มประชาชนผู้สูงอายุ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน เนื่องจากเงินที่ได้รับจะถูกนำไปใช้จ่ายในสินค้าและบริการที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ความท้าทายที่ต้องจับตา แม้โครงการนี้จะได้รับการตอบรับในแง่บวกจากประชาชน แต่การบริหารจัดการและการตรวจสอบสิทธิ์ยังเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส เพื่อให้เงินช่วยเหลือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง แนวโน้มในอนาคต “รัฐบาลมีแผนพิจารณาขยายโครงการช่วยเหลือในอนาคต หากมาตรการนี้ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้สูงอายุ “ ที่มา MCOT

ราคาทองคำทรงตัว ขณะที่ตลาดกำลังประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

ราคาทองคำ

ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังในตลาดโลกเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2024 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) นักลงทุนยังคงจับตามองการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลกระทบต่อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ แนวโน้มดอกเบี้ย Fed ยังคงส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยอาจยังอยู่ในระดับสูงในช่วงต้นปี 2025 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่านโยบายนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ แต่ก็ทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำสูงขึ้น ส่งผลกดดันต่อราคา ตลาดยังไม่มั่นใจในเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และความไม่แน่นอนในยุโรปส่งผลให้นักลงทุนยังคงระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าในบางช่วงเวลากดดันความต้องการทองคำ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ต้องซื้อทองคำด้วยดอลลาร์ ราคาทองคำในปัจจุบันสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในตลาดโลก ความเคลื่อนไหวในกรอบแคบของราคาทองคำเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนรอความชัดเจนในนโยบายการเงินของ Fed และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีนและยุโรป หากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงซบเซา สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำอาจกลับมาดึงดูดความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก หากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีก ทองคำอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หาก Fed ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยในระยะกลางหรือปลายปี 2025 อาจเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนราคาทองคำ นักลงทุนที่พิจารณาทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงควรติดตามปัจจัยสำคัญในเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เช่น ความเคลื่อนไหวของดอกเบี้ยและความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดโลก ที่มา Yahoo Finance

‘Festival Economy’ หมากสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโต

‘Festival Economy’ หรือการใช้กิจกรรมเทศกาลและอีเวนต์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กำลังกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคที่การท่องเที่ยวฟื้นตัว กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแค่ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ Festival Economy คืออะไร? แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการจัดงานที่ดึงดูดผู้คนให้มาร่วมกิจกรรม เช่น เทศกาลวัฒนธรรม การแสดงดนตรี และนิทรรศการต่าง ๆ งานเหล่านี้สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม การเดินทาง และธุรกิจร้านอาหาร เหตุผลที่ Festival Economy สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เทศกาลใหญ่ เช่น งานลอยกระทง Bangkok Design Week หรือเทศกาลวัฒนธรรมระดับภูมิภาค ช่วยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างชาติ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์โดยตรง สร้างรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น เทศกาลในภูมิภาค เช่น งานสงกรานต์ในเชียงใหม่หรืองานบุญบั้งไฟในภาคอีสาน ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การจัดอีเวนต์และเทศกาลต่าง ๆ สนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ดนตรี ศิลปะ และงานออกแบบ พร้อมสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในภูมิภาค ความท้าทายที่ต้องจัดการ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ปริมาณขยะและการใช้ทรัพยากรในงานเทศกาลต้องได้รับการบริหารจัดการที่ดี ความต่อเนื่องและการร่วมมือ: การจัดเทศกาลที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลและภาคเอกชน รวมถึงนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน […]

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยเตรียมรับศึกสงครามราคา หลังจีนส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าล้นตลาด

ในปี 2567 นี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคของการแข่งขันที่ดุเดือด เนื่องจากการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนล้นตลาด ส่งผลให้ผู้ผลิตในไทยต้องเตรียมกลยุทธ์รับมือกับ สงครามราคา ที่อาจเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ปัจจัยที่ผลักดันสงครามราคา การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเกินความต้องการในประเทศ จีนในฐานะผู้ผลิต EV รายใหญ่ของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาสินค้าล้นตลาดในประเทศ ทำให้ต้องเร่งขยายการส่งออกมายังตลาดสำคัญอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้นทุนการผลิตต่ำ ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีน ทำให้ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาที่ต่ำกว่าแบรนด์อื่นในตลาด เช่น BYD และ MG ที่กำลังขยายตลาดในไทย มาตรการส่งเสริมจากรัฐบาลจีน รัฐบาลจีนยังคงให้การสนับสนุนผู้ผลิต EV ผ่านมาตรการลดภาษีและเงินสนับสนุนต่าง ๆ ทำให้การส่งออกมีความได้เปรียบมากขึ้น ผลกระทบต่อตลาดไทย แบรนด์ไทยและต่างชาติในไทย: ผู้ผลิตในประเทศ รวมถึงแบรนด์ต่างชาติที่ประกอบในไทย เช่น Toyota และ Honda อาจต้องปรับลดราคาหรือเพิ่มความคุ้มค่าในผลิตภัณฑ์ เพื่อแข่งขันกับ EV ราคาถูกจากจีน ผู้บริโภคไทย: ผู้บริโภคอาจได้ประโยชน์จากราคาที่ถูกลง แต่ต้องพิจารณาคุณภาพและบริการหลังการขาย กลยุทธ์รับมือในอนาคต ผู้ผลิต EV ในไทยอาจต้องมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ระยะทางการใช้งานที่ยาวนานขึ้น หรือระบบชาร์จที่เร็วกว่า รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ผ่านบริการหลังการขายที่แข็งแกร่ง […]

เกณฑ์ใหม่ “Easy E-Receipt” แบ่ง 2 ตะกร้า ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท

รัฐบาลเปิดตัวโครงการ “Easy E-Receipt” เกณฑ์ใหม่สำหรับการลดหย่อนภาษีในปี 2567 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและส่งเสริมการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยแบ่งประเภทการใช้จ่ายออกเป็น 2 ตะกร้า พร้อมกำหนดวงเงินลดหย่อนสูงสุดถึง 50,000 บาท รายละเอียดเกณฑ์ Easy E-Receipt ตะกร้าที่ 1: การใช้จ่ายในสินค้าและบริการทั่วไป วงเงินลดหย่อนสูงสุด 30,000 บาท ครอบคลุมการใช้จ่ายที่ชำระเงินผ่านระบบ E-Receipt เช่น การซื้อสินค้าในร้านค้าและบริการทั่วไป ตะกร้าที่ 2: การใช้จ่ายในสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม วงเงินลดหย่อนสูงสุด 20,000 บาท เช่น การซื้อสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในเชิงคุณค่า การใช้งาน E-Receipt ผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านเกณฑ์นี้ จะต้องชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บัตรเครดิตหรือแอปพลิเคชันการเงินที่รองรับ E-Receipt และเก็บหลักฐานใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ไว้สำหรับการยื่นภาษี ผลกระทบที่คาดหวัง กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โครงการนี้ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลดีต่อร้านค้าและผู้ประกอบการในประเทศ สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล การใช้งาน E-Receipt ช่วยลดการใช้กระดาษ และเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการข้อมูล

“ทีทีบี” ประเมินไทยปี 2568 โต 2.6% ช้าสุดในภูมิภาค เหตุบริโภค-ส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอตัว

ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2.6% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การเติบโตชะลอตัว ได้แก่ การบริโภคในประเทศลดลง ผู้บริโภคยังเผชิญแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่สูง ขณะที่กำลังซื้อของประชาชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การส่งออกที่ซบเซา ภาคการส่งออกยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากตลาดใหญ่ เช่น จีนและสหรัฐฯ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า แม้ว่าการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด ทีทีบียังระบุว่า ไทยต้องเร่งปรับตัวและยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมนวัตกรรม และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตได้รวดเร็วกว่ามาก ที่มา ประชาชาติธุรกิจ