การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในองค์กรกำลังเผชิญปัญหาใหม่ที่เรียกว่า “AI Fatigue” หรือความเหนื่อยล้าจากการใช้งาน AI ในระดับบุคคลและองค์กร โดยปัญหานี้กำลังเป็นประเด็นสำคัญสำหรับทั้งพนักงานและผู้นำองค์กรที่ต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วเกินไป
AI Fatigue คืออะไร?
AI Fatigue หมายถึงความรู้สึกหมดแรงหรือความท้อแท้ที่เกิดจากการต้องใช้งาน AI อย่างต่อเนื่องหรือจากการปรับตัวให้เข้ากับระบบ AI ที่ซับซ้อนในที่ทำงาน สาเหตุหลักมักมาจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่รวดเร็วเกินไป การใช้งานที่เกินความจำเป็น และความไม่พร้อมของบุคลากร
ปัจจัยที่นำไปสู่ AI Fatigue
- การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป
หลายองค์กรเร่งนำ AI มาใช้โดยขาดการเตรียมความพร้อม ทำให้พนักงานต้องรับมือกับระบบใหม่ในเวลาอันสั้น - ความไม่เข้าใจและความกังวล
การขาดการฝึกอบรมที่เพียงพอ และความกลัวว่าหุ่นยนต์หรือระบบ AI จะมาแทนที่งานของมนุษย์ สร้างความกดดันในที่ทำงาน - การใช้งานเกินจำเป็น
บางองค์กรพยายามใช้ AI ในทุกกระบวนการ แม้ในจุดที่ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพจริง ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในการทำงาน
ผลกระทบต่อองค์กร
- ผลิตภาพลดลง: พนักงานที่เหนื่อยล้าจาก AI มักมีความสามารถในการทำงานลดลง
- ขาดความไว้วางใจในเทคโนโลยี: การใช้งานที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้พนักงานมอง AI เป็นภาระมากกว่าประโยชน์
วิธีจัดการ AI Fatigue
- ฝึกอบรมและสร้างความเข้าใจ องค์กรควรลงทุนในการให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม และแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่แท้จริง
- ใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ ควรเลือกใช้ AI เฉพาะในจุดที่เพิ่มคุณค่าและช่วยลดภาระงานจริง ๆ
- สร้างสมดุลในการเปลี่ยนแปลง การปรับเปลี่ยนควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้พนักงานมีเวลาปรับตัว
AI Fatigue เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระดับบุคคล องค์กรที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน ควรให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมที่รองรับการปรับตัวของพนักงานมากกว่าการเร่งนำ AI มาใช้เพียงเพื่อความล้ำหน้า